Wednesday, April 6, 2011

ประเดิม : แกงเนื้อพริกขี้หนู

การเดินทางไม่ว่าจะไกลแค่ไหนมันต้องมีก้าวแรกเสมอค่ะ และในที่สุดการก้าว(หรือกระดึ๊บ)แรกของครัวหอยทากก็ได้เริ่มขึ้นหลังจากที่ดิฉันได้ ช้อปปิ้งบรรดาหนังสือเกี่ยวกับอาหารเพื่อความมั่นใจมาได้ซักระยะแล้ว อย่ากระนั้นเลย ได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้วค่ะ สำหรับอาหารรายการแรก ครัวหอยทากภูมิใจเสนอเสนอ "แกงเนื้อพริกขี้หนู" ค่ะ


หลังจากตัดสินใจเลือกเมนูนี้มาจากเหล่าผู้ท้าชิงมากมายจากบรรดาหนังสืออาหาร ก็ทำการจดของต่างๆ และคว้าถุงผ้าพร้อมด้วยจับกังหิ้วของ 1 คนออกเดินทางสู่ตลาดทันทีค่ะ (เพราะด้วยความเร็วระดับครัวหอยทากถ้าไปช้าอาจทำไม่ทันทานมื้อเย็นได้ค่ะ)

สูตรแกงนี้สำหรับ 4 ถ้วยแกง ซึ่งก็คือรับประทานสี่คนได้สองมื้อค่ะ
เริ่มต้นจากการเคี่ยวเนื้อด้วยกระทิก่อนค่ะ ส่วนผสมดังนี้
1) เนื้อวัว 1 กิโลกรัม
2) หางกะทิ 2 ถ้วย
3) เกลือ 1/2 ช้อนชา
เตรียมเนื้อด้วยการหั่นเนื้อวัวเป็นชิ้นๆค่ะ สำหรับครั้งนี้ดิชั้นหั่นแบบเป็นชิ้นพอดีคำไม่บางไม่หนาเกินไปค่ะ หรือบางท่านอาจหั่นเป็นลักษณะลูกเต๋าก็น่าสนใจนะคะ จากนั้นนำหางกะทิ 2 ถ้วยขึ้นตั้งไฟอ่อน เติมเกลือ 1/2 ช้นชาลงไป และใส่เนื้อที่หั่นแล้วลงไปค่ะ ใช้เวลาในการเคี่ยวเคี่ยวเนี้อวัว 1 ชั่วโมง 30 นาที ค่ะ หมั่นมาเช็คน้ำกระทิไม่ให้น้อยจนเกินไป อาจจะต้องคอยเติมน้ำทุกๆ 20 นาทีค่ะ 

ระหว่างที่รอเคี่ยวเนื้อให้ทำพริกแกงไว้รอเลยค่ะ ส่วนผสมดังนี้ค่ะ

4 ตะไคร้ 1/2 ถ้วย 
5) ข่า 1+1/4 ช้อนชา
6) ผิวมะกรูด 1 ช้อนโต๊ะ
7) หัวหอมแดง 1/2 ถ้วย
8) กระเทียม 1/4 ถ้วย
9) พริกไทป่น 1/2 ช้อนโต๊ะ
10) กะปิ 1+1/2 ช้อนโต๊ะ
11) ขมิ้น 1 ช้อนโต๊ะ 
12) พริกขี้หนูแห้ง 1/4 ถ้วย
เมื่อรวบรวมวัตถุดิบทั้งหมดนี้ได้ตามที่ต้องการแล้วก็นำทั้งหมดมาบดเข้าด้วยกันให้ละเอียดค่ะ ก่อนจะนำมาบดก็หั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนค่ะ พร้อมแล้วค่ะสำหรับการบด โดยปกติแล้วอาวุธในการใช้บดเครื่องแกงเข้าด้วยกันประจำครัวไทยบ้านเรา ก็คือ ครก นั่นเองค่ะ แต่เนื่องจากการทำอาหารครั้งนี้นับเป็นเมนูแรกสำหรับครัวหอยทากของเราด้วยเกรงว่าจะบดได้ไม่ละเอียดบ้าง จะใช้เวลานานเกินไปบ้างดังนั้นเราจึงตัดสิ้นใจเลือกใช้.......เครื่องบด(Blender) นั่นเองค่ะ โดยได้ตั้งใจไว้ว่าในโอกาสต่อๆไปจะพยายามใช้ครก อุปกรณ์คู่ครัวไทยให้จงได้เพราะส่วนตัวดิฉันเองเชื่อว่า ครกจะทำให้กลิ่นไอเครื่องแกงอบอวลถึงรสชาดแบบเป็นธรรมชาติมากกว่าค่ะ แต่สำหรับโอกาสนี้ เสียบปลั๊กค่ะ! และแล้วด้วยความตื่นเต้นได้เครื่องแกงมาแล้วค่ะ หน้าตาสีสันดูดีทีเดียวแถมกลิ่นก็ให้ความรู้สึกถึงเครื่องมากๆ เชียวค่ะ



หลังจากเราเคี่ยวเนื้อได้ที่ตามเวลาที่กำหนดแล้วนะคะเราก็จะได้เนื้อที่เปื่อยและหอมมันทีเดียวค่ะ(ที่ทราบเพราะแอบชิมเนื้อไป1ชิ้น) เอาล่ะค่ะขั้นตอนต่อไปนะคะ วัตถุดิบที่เหลือประกอบไปด้วย
13) หัวกะทิ 2 ถ้วย
14) หางกะทิ 2 ถ้วย
15) น้ำตาลปี๊บ 20 กรัม (+ 20 กรัม หากชอบหวาน)
16) น้ำปลา 1+1/2 ช้อนโต๊ะ (เพิ่มเติมได้เล็กน้อย)
17) เกลือ 3/4 ช้อนชา
18) พริกขี้หนูสวน (จำนวนแล้วแต่ชอบค่ะ ไว้ให้ผู้ใหญ่กัดกร้วมๆ จี๊ดๆ ในปาก)

เวลาสำหรับเครื่องแกงของเรามาถึงแล้วค่ะ 
1) ใส่เครื่องแกงลงไปรวมกับเนื่อซึ่งเคี่ยวได้ที่แล้ว
2) ใส่หัวกะทิ 2 ถ้วย และหางกะทิ 2 ถ้วย นำขึ้นตั้งไฟแรง
3) เติม นำ้ตาลปี๊บ,นำ้ปลา และ เกลือ พอเดือด โรยด้วยพริกขี้หนูสวน ปิดไฟทันที
เป็นอันเสร็จพิธีค่ะสำหรับ "แกงเนื้อพริกขี้หนู"  หน้าตาออกมาดูดีน่ารัปประทานทีเดียวค่ะ บวกกับกลิ่นหอมหวล ชวนท้องร้องขึ้นมาทันทีค่ะ


สำหรับแกงเนื้อพริกขี้หนูนั้น นอกจากข้าวสวยร้อนๆแล้ว ยังสามารถนำมาทานคู่กับ โรตี หรือ ขนมจีน ได้อย่างเข้ากันอีกด้วยนะคะ (สำหรับดิฉันไม่ลืมที่จะหยิบขนมจีนติดมาจากตลาดมาพอให้ได้ลองทานคู่กันดูค่ะยืนยันว่าอร่อยเข้ากันจริงๆค่ะ) นอกจากนี้อาหารอีกชนิดที่ดิฉันเลือกมาทานด้วยกันคือ "ไข่เป็ดยางมะตูม" ค่ะอร่อยเข้ากันมากๆค่ะ บางท่านอาจจะจับคู่กับไข่เจียวร้อนๆแทน ก็น่าจะอร่อยไม่แพ้กันนะค่ะ 

และเนื่องด้วยนี่เป็นครั้งแรกสำหรับเมนูนี้นะคะแน่นอนว่าย่อมมีข้อผิดพลาดขึ้นในการทำค่ะซึ่งดิฉัดก็ขอนำเอาข้อผิดพลาดเหล่านั้นมาเล่าสู่กันฟังนะคะ ด้วยเผื่อว่าจะได้ไม่เกิดขึ้นซำ้กัับท่านอื่นๆค่ะ 
• ข้อแรกต้องจับเอาจับกังไปทำโทษค่ะเพราะ ตอนจดรายการที่ต้องซื้อที่ตลาดเกิดจดรายการ "พริกขี้หนูแห้ง"ตกคำว่าแห้งไปค่ะ สิ่งที่ได้มาจากตลาดจึงกลายเป็นพริกขี้หนูค่ะแถมที่บ้านก็ไม่มีพริกขี้หนูแห้งเหลือติดครัวอยู่เลย จึงต้องจำยอมใช้พริกขี้หนูแทนค่ะ ดิฉันคิดว่าถ้าถูกต้องตามสูตรเป็น "พริกขี้หนูแห้ง"น่าจะได้รสชาดที่เผ็ดขึ้นและน่าจะมีกลิ่นบางอย่างที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นนะคะ 
• ข้อผิดพลาดอีกข้อหนึ่ง เกี่ยวกับการเคี่ยวเนื้อวัวค่ะด้วยความเข้าใจผิดผสมกับความไม่เคย ทำให้ไม่ทราบว่าหลังจากเคี่ยวเนื้อได้ที่แล้วเราต้องตักเฉพาะเนื้อออกมาแล้วทิ้งนำ้กะทิตอนเคี่ยวทิ้งไปค่ะ แต่ดิฉันกลับใส่เครื่องแกง เติมกะทิ เร่งไฟแรงแล้วใส่ส่วนผสมลงไปเลยค่ะ ทำให้แกงที่ออกมาจึงมีกะทิที่แตกมันอยู่ด้วยซึ่งที่ถูกต้องไม่สมควรมีค่ะ  จากข้อผิดพลาดที่กล่าวมาก็ตั้งใจไว้ว่าจะระมัดระวังให้มากขึ้นในเมนูต่อๆไปนะคะ 

เสียดายเล็กน้อยสำหรับแกงเนื้อพริกขี้หนูที่พลาดไปบ้างค่ะตั้งใจไว้ว่าจะทำเมนูนี้แก้ตัวอีกครั้งค่ะถ้ามีโอกาส(ขอโทษด้วยนะคะสมาชิกทุกคนในบ้าน) สำหรับเมนูนี้ก็จบเพียงเท่านี้นะคะ หลังจากทำอาหารมื้อนี้แล้วทำให้ดิฉันมั่นใจขึ้นว่าดิฉันคิดถูกจริงๆที่ตัดสินใจทำ "งานอดิเรก" นี้ขึ้นเพราะการทำอาหาร ทำให้สนุกตอนทำ มีความสุขตอนทาน(และตอนคนอื่นทาน)จริงๆค่ะ

ขอความเจริญอาหารจงมาสู่คุณค่ะ


• สูตรอาหารจากหนังสือ สำรับ โดย มล.ขวัญทิพย์ เทวกุล

Monday, April 4, 2011

Snail Kitchen นะจ๊ะ มิใช่ Hell Kitchen


หลังจากวันเกิดครั้งล่าสุดที่ต้องตระหนักกับอายุที่เพิ่มขึ้นในระหว่างการนอนกลิ้งไปมาอย่างขี้เกียจหลังตื่นนอน ซึ่งเกิดเป็นความหวั่นไหวอย่างที่สุดของมนุษย์เพศหญิงอย่างดิฉันที่คิดว่าบางคนคงเข้าใจดี ไม่ใช่เพียงริ้วรอยและเนื้อหนังส่วนเกินที่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้นที่ทำให้ดิฉันเกิดความกังวลใจ สิ่งเพิ่มขึ้นมาคือความรู้สึกว่าดิฉันควรจะหากิจกรรมยามว่างที่ดูเป็นชิ้นเป็นอันทำเสียซักหนึ่งอย่างก็คงจะดี หลายเดือนผ่านไปก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่คิดว่าเป็นชิ้นเป็นอันซักที จนวันหนึ่งเพื่อนสนิทเอ่ยปากชม "มาม่าผัด" ที่ทำไปฝากเป็นมื้อเที่ยงที่แสนประหยัดนั้นว่า

"มาม่าผัดอร่อยมากเลย เธอทำอร่อยแบบนี้ทำขายเลยสิ"

ดิฉันก็คิดว่ามันจะไปยากอะไรหล่ะคุณเธอ แล้วซักครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นมาได้ว่า จริงๆ แล้วทุกวันหยุดดิฉันก็ทำกับข้าวนี่นา การทำกับข้าวที่ดูเป็นเหมือนภาระกิจอันแสนธรรมดา แท้ที่จริงแล้วในแต่ละครั้งมันไม่ได้เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แต่เป็นสิ่งที่ดิฉันเลือกทำเองเพราะความสนุกที่ได้ทำและรับประทานต่างหากหล่ะ ดังนั้นจากนี้ไปขอสถาปนาให้ "การทำอาหาร" เป็นรายการผลาญเวลาที่สุดแสนจะสร้างสรรค์อย่างเป็นทางการค่ะ

ดิฉันกลัวมีด กลัวความร้อน ซุ่มซ่าม แต่ชอบรับประทานอาหารอร่อย จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ชอบทำอาหาร สิ่งที่กลัวข้างต้นนั้นไม่ได้มีผลอะไรนอกเหนือไปจากทำให้ช้าขึ้น บวกกับความพิถีพิถันซ้ำทำให้ช้าเข้าไปอีกจนคุณแม่ทักเสมอว่า "กินวันนี้นะจ๊ะ" ทุกครั้งไป พ่อยอดขมองหมูของดิฉันเลยชอบใจที่จะตั้งชื่อรายการความอร่อยแสนเชื่องช้านี้ว่า "Snail kitchen" หรือ ครัวหอยทาก

ขอความเจริญอาหารจงมาสู่คุณค่ะ